หัวข้อกระทู้ : ขณะที่สมเด็จพระมงกุฏเกล้า ร. 6 เสด็จประพาสเมืองอุตรดิตถ์พระองค์ได้พบเทพ ท้าวหิรัญพนาสูร กลางป่าลึกแห่งเมืองอุตรดิตถ์ และท้าวหิรัญพนาสูร ได้อารักขาพระองค์ ตั้งแต่เมืองอุตรดิตถ์ จนนิวัติกลับพระนครด้วยคว
ผู้ตั้งกระทู้ : Rambo_Thaiตั้งกระทู้เมื่อ : 16 ม.ค. 56 - 08:00:55
รายละเอียด


ขณะที่สมเด็จพระมงกุฏเกล้า ร. 6 เสด็จประพาสเมืองอุตรดิตถ์พระองค์ได้พบเทพ ท้าวหิรัญพนาสูร กลางป่าลึกแห่งเมืองอุตรดิตถ์ และท้าวหิรัญพนาสูร ได้อารักขาพระองค์ ตั้งแต่เมืองอุตรดิตถ์ จนเสด็จนิวัติกลับพระนครด้วยความปลอดภัย เชิญชมเรื่องราว กันได้เลย ครับ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการศึกษาจากประเทศอังกฤษ ในขณะที่มีการค้นคว้าเรื่องราวทางภารตวิทยาของอินเดียหรืออนุทวีป ในฐานะเมืองขึ้นของจักรวรรดิอย่างคึกคัก ส่งผลให้พระองค์ทรงสนพระทัยในเรื่องราวอันเร้นลับของอินเดียที่ถ่ายทอดผ่าน คัมภีร์และปกรณัมต่างๆ และทรงเป็นต้นแบบในการรับเอาคติความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับ \"ภารตะวิทยา\"
ท้าวหิรัญพนาสูรปรากฏขึ้นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว คำว่า \"หิรัญ\" หมายถึงเงิน สีเงิน หรือบางแห่งแปลความหมายว่าทอง ส่วน \"พนาสูร\" เป็นคำเชื่อมกันระหว่าง \"พนา\" แปลว่า \"ป่า\" กับ \"อสูร\" ดังนั้น จึงสื่อความหมายถึงเทพาสูรผู้เป็นใหญ่แห่งป่า ซึ่งพระองค์ทรงเรียกว่า \"ท้าวหิรัญฮู\" มีผู้อธิบายว่า \"ฮู\" มาจาก \"Who\" ในภาษาอังกฤษ เนื่องจากในปี พ.ศ.2449 ขณะที่ยังทรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงเสด็จประพาสมณฑลพายัพ ซึ่งเส้นทางในสมัยนั้นเต็มไปด้วยป่าเขา ภยันตราย และโรคภัยไข้เจ็บ ขณะเมื่อทรงจะออกจากอุตรดิตถ์ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จรู้สึกหวั่นวิตกต่อ ภยันตราย พระองค์จึงทรงมีพระราชดำรัสว่า \"ธรรมดาเจ้าใหญ่นายโตจะเสด็จ ณ ที่แห่งใดๆ ก็ดี คงจะมีทั้งเทวดาและปีศาจฤๅอสูร อันเป็นสัมมาทิฏฐิ คอยติดตามป้องกันภยันตรายทั้งปวง มิให้มากล้ำกรายพระองค์และบริวารผู้โดยเสด็จได้ ถึงในการเสด็จครั้งนี้ก็มีเหมือนกัน อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดมีความวิตกไปเลย\"
ด้วยกระแสพระราชดำรัสดังกล่าว ทำให้บรรดาข้าราชบริพารขุนนางใหญ่น้อยอุ่นใจคลายความกังวล ในขณะเสด็จประพาสนั้นปรากฏมีข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเกิดนิมิตฝัน เห็นบุรุษผู้หนึ่งร่างสูงใหญ่ล่ำสัน บอกนามว่า \"หิรัญ\" และแจ้งว่าตนเป็นอสูรแห่งป่า เป็นผู้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติ จะคอยดูแลปกป้ององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และข้าราชบริพารในขณะเดินทาง จึงทรงโปรดฯ ให้ตั้งเครื่องสังเวยในป่าริมพลับพลานั้น และเมื่อทรงเสวยก็จะแบ่งพระกระยาหารไปตั้งเป็นเครื่องเซ่นเสมอๆ ปรากฏว่าการเสด็จพระราชดำเนินหัวเมืองพายัพครั้งนั้นปราศจากเภทภัย อันตราย ไม่มีใครเจ็บไข้ได้ป่วย และประสบความสำเร็จสมดังตั้งพระราชหฤทัยไว้ทุกประการ
ด้วยเหตุ ดังกล่าวการเสด็จประพาสในคราวต่อๆ มาข้าราชบริพารจึงทำพิธีอัญเชิญเทพาสูรที่ปรากฏในนิมิตตามเสด็จไปด้วยทุก ครั้ง และมีผู้คนมากมายพบเห็นบุรุษในลักษณาการอย่างโบราณ รูปร่างสูงใหญ่ นั่งบ้าง ยืนบ้าง ตามขบวนเสด็จไปด้วยเป็นอันมาก จนข่าวคราวร่ำลือถึงข้าหลวงมณฑลเทศาภิบาลต่างๆ ทำให้ผู้คนเลื่อมใส เคารพท้าวหิรัญพนาสูรกันแต่ครั้งนั้น และโปรดให้หล่อรูปท่านท้าวประดิษฐานไว้ประจำพระราชวังพญาไท \"รูปท้าวหิรัญพนาสูร\" จึงกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนเคารพกราบไหว้ให้ป้องกันภยันตราย ให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และประสบความสำเร็จในกิจการงานต่างๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ประวัติและอภินิหาร ท้าวหิรัญพนาสูร (ฮู)
อสูรผู้ภักดีในล้นเกล้า รัชกาลที่ 6
โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์

“วังพญาไท” ในยุคปัจจุบันไม่ใคร่มีใครรู้จักเสียแล้ว กาลที่เนิ่นนานผ่านมากว่า 71 ปีย่อมกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่ารูปหรือนาม ความทรงจำถึง “วังพญาไท” ในวันนี้ ย่อมมีอยู่เพียงหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย

แต่ถ้ากล่าวถึง “โรงพยาบาลพระมงกุฏฯ” หลายคนคงเคยสดับฟังและอาจเคยเข้ารับการรักษา หรืออาจถือกำเนิดที่นี่ซ้ำไป ทราบกันไหมว่าโรงพยาบาลพระมงกุฏในวันนี้ อดีตเคยเป็นวังอันสวยสดงามสง่า และเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 มาก่อน

ลึกเข้าไปทางด้านทิศเหนือของ “วังพญาไท” ซึ่งติดกับคลองสามเสน ปรากฏศาลเทพารักษ์อันโดดเด่นงดงาม ประดับกระจกสีพร่างพรายล้อแสงตะวันระยิบระยับอยู่ใกล้ ๆกับต้นไทรใบดกหนา ภายในศาลประดิษฐานอยู่ด้วยรูปหล่อทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่กว่าคนจริงเล็กน้อย รูปร่างล่ำสันสมชายชาตรี

ร่างงามนั้น สวมชฎาทรงเทริด (เซิด) อย่างไทยโบราณ ถือไม้เท้าเป็นเครื่องประดับ นุ่งผ้าโจงกระเบนอย่างผู้มียศศักดิ์ สวมสร้อยสังวาลย์ และพาหุรัด อีกทั้งกำไลมือ กำไลเท้าสมภาคภูมิ

หากใครสักคนไปเฝ้าดูอยู่ที่นั่น จะพบว่ามีผู้คนมากหน้าหลายตาหลากอาชีพมาสักการะบูชาอยู่มิได้ขาด ท่านผู้นั้นเป็นใครหรือจึงมีคนเคารพบูชาเพียงนั้น แม้ว่าเป็นภูมิเจ้าที่ธรรมดา การแต่งกายก็บ่งชัดว่าไม่ใช่

เชิญเถิดท่านทั้งหลายมาทำความรู้จักกับ “อสูรผู้ภักดี” อย่างน่าสรรเสริญท่านนี้กันเถิด



ย้อนหลังไปในอดีตกาลที่ผ่านพ้นมาถึง 90 ปี ครั้งกระนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร” ได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปประพาส ณ มณฑลพายัพ โดยขบวนรถไฟหลวง

ครั้นถึงจังหวัดนครสวรรค์ ก็เสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนเรือพระที่นั่งไปขึ้นบกที่จังหวัดอุตรดิตถ์ จากนั้นพระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินโดยทรงม้าต่อไป ซึ่งในครั้งกระโน้น อุตรดิตถ์และดินแดนทางฝ่ายเหนือยังมีสภาพเป็นป่ารกชัฏ อุดมสมบูรณ์ด้วยแมกไม้นานาพรรณ แลเกลื่อนกล่นด้วยส่ำสัตว์น้อยใหญ่ ไม่ปรากฏถนนหนทางดังเช่นปัจจุบัน

ใช่เพียงหมู่สัตว์ร้ายและไข้ป่าที่ขึ้นชื่อลือชาว่าน่าหวาดสยองเป็นที่สุดเท่านั้น ความเงียบของไพรพฤกษ์ ความมืดครึ้มของดงดิบ ก็มีผลที่จะสั่นคลอนประสาทของผู้เป็นข้าราชบริพารที่ว่าแข็งให้หวั่นไหวได้อย่างน่าประหลาด ภูตผีปีศาจเป็นเรื่องที่ฝังรากหยั่งลึกอยู่ในจิตใจของคนไทยมาช้านาน ไม่อาจบอกได้ว่าเริ่มมาแต่ครั้งไหน ทว่ามันยังมีอิทธิพลเรื่อยมาทุกรุ่นทุกคนจนทุกวันนี้ ผู้ตามเสด็จในขบวนทั้งหลายก็ยังมีความเชื่ออย่างนี้เช่นกัน ด้วยความวิตกในจิตใจและความแบบบางของร่างกายอย่างชาววัง จึงได้มีผู้ล้มป่วยเป็นไข้ป่าอยู่เป็นอันมาก

วันหนึ่งของการเดินทางเมื่อพลบค่ำ ข้าราชการที่ตามเสด็จไปด้วยก็จัดเตรียมพลับพลาที่ประทับในป่าถวาย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ดังเช่นที่เคยปฏิบัติมา

ในราตรีนั้นเอง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ได้ทรงสุบินนิมิตเห็นปรากฏแก่สายพระเนตร เป็นบุรุษชาติผู้หนึ่ง กอปรด้วยรูปร่างที่ใหญ่โตแลกล้ามเนื้ออันล่ำสันบึกบึน มีผิวกายคล้ำเยี่ยงคนกรำแดด ที่ตัวนั้นมิได้สวมเสื้อ คงนุ่งเพียงผ้าเตี่ยวมีลายเชิงสีแดงคาดรัดเอวอย่างงดงาม ร่างกายล้วนเต็มไปด้วยอาภรณ์สูงค่าประดับองค์ บนศีรษะครอบไว้ด้วยชฎาทรงเทริดอันเป็นเครื่องบ่งถึง “ภพภูมิ” ที่ไม่ “ธรรมดา”

บุรุษลึกลับผู้นั้นย่างกายเข้ามาอย่างองอาจผ่าเผย ทว่าแฝงไว้ด้วยความอ่อนน้อมในที เมื่อร่างอัศจรรย์มาหยุดยืนอยู่เบื้องปลายแท่นพระบรรทมแล้ว ก็ยกมือขึ้นประนม แล้วกราบบังคมทูลด้วยเสียงที่อ่อนโยนลุ่มลึกขึ้นว่า

“ข้าพระพุทธเจ้าชื่อ ฮู เป็นอสูรชาวป่าซึ่งยึดมั่นอยู่ในสัมมาปฏิบัติ มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระองค์ จะขอถวายตัวเพื่อเป็นข้าราชบริพารคอยรับใช้ และติดตามเสด็จไปด้วยทุกหนแห่งเพื่อพิทักษ์เบื้องพระยุคลบาท มิให้ภยันตรายมากร้ำกรายพระองค์”




สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงสดับฟังด้วยความสุขุมอย่างเข้าพระทัย เมื่ออสูรนามว่า “ฮู” กล่าวจบลง พระองค์จึงทรงมีพระราชดำรัสถามว่า

“แล้วจะให้ข้าพเจ้าปฏิบัติอย่างไร”

อสูรผู้มีป่าเป็นเรือนพักได้กราบบังคมทูลว่า

“ไม่ต้องมีอะไรมาก โปรดพระราชทานที่เฉพาะให้ข้าพระพุทธเจ้าอยู่ และแบ่งพระกระยาหารจากเครื่องเสวยของพระองค์ ก็เพียงพอแล้ว”

เมื่อจบการสนทนา อสูรชาวป่าก็ถวายบังคมลาอันตรธานไปจากพลับพลาที่ประทับในราตรีนั้น

ครั้นอรุณรุ่ง พระองค์ก็ทรงมีพระราชวินิจฉัยอยู่ในพระราชหฤทัยอยู่เพียงพระองค์เดียวว่า เมื่อคืนนั้นจักทรงพระสุบินไปโดยธรรมดาของธาตุขันธุ์ หรือเป็น “เทพนิมิต” ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน บรรดาข้าราชบริพารทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นไข้ป่ากันงอมแงมก็พากันหายจากอาการเจ็บป่วยโดยสิ้นเชิง และผู้ที่ไม่เคยเป็นก็พากันรอดพ้นจากไข้ป่าแลภัยทั้งหลายทั้งปวง

เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ดูเป็นการสมจริงดังคำอ้างของบุรุษผู้มีที่มาอันพิสดารได้กล่าวรับรองไว้ ยิ่งไปกว่านั้น ประดาข้าราชบริพารที่ตามเสด็จไปด้วย ก็เกิดพบเห็นชายรูปร่างใหญ่โตน่าเกรงขามคนหนึ่งมักยืนหรือนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ ๆที่ประทับของพระองค์เสมอ ๆ

บางครั้งก็เห็นเพียงคนเดียว แต่บางครั้งก็พากันเห็นพร้อมกันหลายคน ทำเอาข้าราชบริพารทั้งนั้นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างอกสั่นขวัญแขวน เพราะในกลุ่มผู้ที่ตามเสด็จทั้งหลายไม่มีชายรูปร่างหน้าตาอย่างนี้มาด้วยเลย เมื่อความข้อนี้ทราบถึงพระเนตรพระกรรณ จึงทรงมีพระราชดำรัสให้จัดธูปเทียนและเครื่องโภชนาการเลิศรสไปสังเวยที่ริมป่าละเมาะใกล้กับพลับพลาที่ประทับนั้น เวลาเสวยก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้แบ่งพระกระยาหารจาก “เครื่องต้น” ไปเซ่นสรวงเสมอ และได้ถือเป็นพระราชกรณียกิจจนกระทั่งสิ้นรัชกาล

ข้าราชบริพารที่ใกล้ชิดในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสมัยนั้น มักพบเห็นพิธีการอันแปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่งเป็นประจำทั้งเช้าและเย็น นั่นคือการแบ่งเครื่องเสวยออกสังเวยท่านฮูอยู่เป็นประจำมิได้ขาด โดยหลวงปราโมทย์กระยานุกิจ (มา) เป็นผู้รับผิดชอบในการเซ่นสรวง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ “พระมหาเทพกษัตรสมุห” สมัยที่เป็นมหาดเล็กตั้งเครื่องเสวยเล่าว่า

“เวลาผมตั้งเครื่องวันไหนแล้ว หลวงปราโมทย์กระยานุกิจ แผนกวรภาชน์ซึ่งเป็นผู้จัดแบ่งพระกระยาหารไปเซ่นสรวงท้าวหิรัญฮู ลืมเอาไปเซ่นสรวง มักจะมีถ้วยชามแตกโฉ่งฉ่างให้ได้ยินไปถึงพระกรรณจนถูกกริ้ว หรือไม่เช่นนั้นก็มีเรื่องอื่นๆทำให้หลวงปราโมทย์กระยานุกิจถูกกริ้วทุกครั้งไป จนถึงกลับถูกถอดจากหลวงเป็นขุน จากขุนเป็นนายมา (ชื่อเดิมของท่าน) แล้วก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลวงอีก เวลามีอะไรเกิดขึ้น ผมว่ากับหลวงปราโมทย์ฯ ซึ่งเป็นเพื่อนกันว่า ลืมอีกล่ะซิ แกบอกว่าลืมจริง ๆ”

ในช่วงเวลานี้เอง ที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าได้ทรงโปรดเกล้าให้ “พระยาอนุศาสตร์จิตรกร” ช่างเขียนประจำพระองค์ ร่างรูปท่านฮูขึ้นตามที่ทรงพระสุบินให้ทอดพระเนตร ทรงทักท้วงและอธิบายแก้ไขจนได้รูปร่างลักษณะตลอดจนเครื่องประดับประดาเป็นที่พอพระราชหฤทัยแล้ว ก็ทรงให้พระยาอนุศาสตร์จิตรกรไปเขียนเป็นภาพให้งดงามตามพระราชประสงค์ต่อไป

---------------------------------
ลุมาถึงปี พ.ศ. 2453 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็น “พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้หล่อรูปท่านฮู ขึ้นด้วยทองสัมฤทธิ์ขนาดเล็ก สูง 20 เซ็นติเมตร เป็นจำนวน 4 รูป เมื่อเดือนเมษายน 2554 ซึ่งถือเป็นรูปหล่อ “รุ่นแรก” ของท่านฮู

จากนั้นก็มีพระราชพิธีเชิญดวงวิญญาณท่านฮูมาสถิตสถาพรในรูปจำลองทั้ง 4 องค์ และโปรดเกล้าฯพระราชทานนามเป็นพิเศษว่า “ท้าวหิรัญพนาสูร” และได้ทรงนำไปติดไว้ที่หน้ารถยนต์พระที่นั่งสีขาวชื่อ “เนเปีย” รูปหนึ่ง

ทรงประดิษฐานไว้ข้างพระที่ในห้องพระบรรทมรูปหนึ่ง (ปัจจุบันอยู่ที่วังรื่นฤดี ซอย 38 ถนนสุขุมวิท ซึ่งเป็นวังที่ประทับของ “สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฟ้าเพชรรัตนราชสุภาสิริโสภาพัณณวดี” และได้ทรงตั้งเครี่องเสวยเซ่นสรวงเป็นกิจวัตร)

อยู่ที่บ้าน “พระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล.ฟื้น พึ่งบุญ)” ซึ่งทายาทยังคงเก็บประดิษฐานไว้ที่บ้านปากคลองเทเวศน์ตราบเท่าทุกวันนี้

และอีกรูปหนึ่ง พ.อ.สุชาติ ปาลวัฒน์วิไชย กับ พ.ต.อุลิศ ลีนะวัติ (ยศในปี พ.ศ. 2504) ได้นำมาประดิษฐานไว้ให้คนเจ็บไข้ได้สักการะหลังหมวดพระยาบาลที่ 8 โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า (เป็นเรือนไม้ 2 ชั้น ทาสีเขียวแก่ อยู่ทางทิศตะวันตกของวังพญาไท ต่อมาภายหลังได้ถูกรื้อแล้วสร้างเป็นโรงเรียนพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัยกองทัพบก ในปี พ.ศ. 2506 และในปัจจุบันได้ย้ายไปประดิษฐานอยู่ที่หน้า “พระที่นั่งอุดมวนาภรณ์” ในโรงพยาบาลพระมงกุฏฯ นั่นเอง)

กล่าวถึงรูปหล่อท่านท้าวหิรัญฮูองค์แรกที่ทรงโปรดฯ ให้นำไปติดไว้ที่หน้ารถพระที่นั่ง “เนเปีย” นั้น พระมหาเทพกษัตรสมุห กรุณาเล่าว่า

“ท้าวหิรัญฮู ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้หล่อขึ้น พระองค์โปรดฯ ให้นำไปติดไว้ที่หน้ารถพระที่นั่ง เพราะเมื่อเวลาที่เสวยพระราชสมบัติแล้ว พระองค์เสด็จไปทรงซ้อมรบเป็นประจำ เป็นเหตุให้ทรงพบเห็นภูติผีปีศาจอยู่บ่อย ๆ แต่พอติดรูปหล่อท่านท้าวหิรัญฮูแล้ว ก็ไม่ทรงพบภูติผีปีศาจอีกเลย

โดยปกติพระองค์จะทรงทำบุญให้ท้าวหิรัญฮูทุกปี แต่จำไม่ได้ว่าวันไหน ซึ่งมีอยู่สองวันคือ วันจักรีกับวันสงกรานต์ พระองค์ทรงทำบุญแล้วก็ทรงทำทานด้วย การทำทานนั้นพระองค์ทรงโปรยสตางค์ใหม่ แย่งกันสนุก ผมก็ยังแย่งมาถึง พ.ศ. 2460”

นั่นคือคำบอกเล่าของพระมหาเทพกษัตรสมุห ข้าราชบริพารท่านหนึ่งที่ได้ทรงใกล้ชิดกับองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จนสิ้นราชการ

สำหรับรูปหล่อองค์ที่ติดอยู่หน้ารถพระที่นั่งนั้น มักปรากฏเหตุอัศจรรย์อยู่เสมอ จะเพราะด้วยเป็นรูปที่ใกล้ชิดกับองค์ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ก็ไม่อาจทราบได้

เพราะเมื่อล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต “พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7” ก็พระราชทานรถพระที่นั่ง “เนเปีย” ให้กับ “กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์” ซึ่งกรมหมื่นอนุวัตรฯ ได้ใช้ขับเข้าเฝ้าทุกวัน ต่อมาไม่นานกรมหมื่นอนุวัตรฯ ก็ได้พบเห็นเหตุการณ์ที่ชวนแปลกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะบ่อยครั้งที่รถพระที่นั่งซึ่งจอดอยู่ในโรงเก็บรถในวัง (ตรงสี่แยกถนนหลานหลวง หลังกรมโยธาเทศบาลเดี๋ยวนี้) จะเปิดไฟสว่างจ้าเองเสมอ

ทีแรกก็คิดว่ามีใครไปเปิดเล่น แต่เมื่อลงไปตรวจดูแล้วก็ไม่พบเห็นผู้หนึ่งผู้ใดเลย แล้ววันแห่งการบอกลาระหว่างเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงกับรถ “อสูรสถิต” คันนี้ก็มาถึง เมื่อคืนวันหนึ่งรถเจ้าปัญหาได้เปิดไฟสว่างจ้าเหมือนเช่นเคย มิหนำซ้ำยังจอดขวางอยู่ในโรงเก็บรถที่แคบแสนแคบ

การที่รถพระที่นั่งจอดขวางในโรงเก็บด้วยลักษณะการเช่นนี้ ต่อให้ใครที่ว่าเก่งแสนเก่งก็ขับรถกลับออกจากโรงรถไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อคนขับรถจะเอารถพระที่นั่งออกจึงต้องใช้วิธีขึ้นแม่แรงยกรถเป็นการใหญ่ใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมง รุ่งขึ้นกรมหมื่นอนุวัตรฯ กระหืดกระหอบเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเล่าเรื่องนี้ถวายให้ทรงทราบ และพูดให้พระมหาเทพกษัตรสมุหฟังว่า

“ทำให้ฉันไม่กล้าขี่รถคันนี้”

จากนั้นกรมหมื่นอนุวัตรฯ ก็ถวายรถคืนพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยไม่กล้าที่จะเอาไว้เพราะเหตุนี้เอง

---------------------------------
ย้อนกลับไปในรัชสมัยของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 อีกครั้ง พระองค์โปรดฯ ให้สร้างวังพญาไทขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2465 ก็ได้ทรงมีพระราชดำริที่จะให้วังพญาไทมีศาลเทพารักษ์ เข้าทำนองศาลพระภูมิประจำบ้านคนไทยโดยทั่วไป

ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้ท่านท้าวหิรัญพนาสูร (ฮู) เป็นเทพารักษ์ประจำวัง จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาอาทรจุรศิลป์ (มล.ช่วง กุญชร) นายช่างกรมศิลปากรสมัยนั้นดำเนินการสร้างโดยด่วน แต่มาติดขัดที่คนซึ่งมีลักษณะล่ำสันแข็งแรงและใหญ่โตมาเป็นแบบนั้น ครั้นแล้วก็ทรงนึกถึง “นายตาบ พรพยัคฆ์” มหาดเล็กรับใช้ของพระองค์ ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ มีกำลังร่างกายแข็งแรงมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้ “เจ้าพระยาธรรมา” กรมมหาดเล็กหลวงนำตัวนายตาบมาเป็นต้นแบบในการขึ้นรูปท้าวหิรัญพนาสูร



ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มิสเตอร์ “แกลเล็ตตี” นายช่างชาวอิตาลีซึ่งมาทำงานประจำอยู่ที่กรมศิลปากรเป็นผู้หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ดังนั้นองค์ท้าวหิรัญพนาสูรจึงละม้ายคล้ายคลึงนายตาบทุกประการ เว้นเพียงท้าวหิรัญพนาสูรไม่มีหนวดเหมือนนายตาบเท่านั้นเอง

เมื่อหล่อเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็ทรงโปรดฯ ให้มีคำจารึกที่ฐานเทพารักษ์ว่า

“พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราวุธมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคม พุทธศักราช 2465 เวลา 5 นาฬิกา กับ 9 นาที 41 วินาที หลังเที่ยง”

มีเรื่องแปลกก่อนที่จะยกองค์ท้าวหิรัญพนาสูรขึ้นบนศาลเรื่องหนึ่งเพราะนายช่างแกลเลตตี เป็นชาวอิตาเลียน ไม่เชื่อในเรื่องลึกลับอัศจรรย์แต่ประการใด เธอจึงใช้เชือกผูกคอรูปหล่อ เพื่อชักขึ้นตั้งบนฐานในศาลจตุรมุข ก็ในทันทีนั้นเอง เธอเกิดเป็นโรคคอเคล็ดเหลียวไปมาไม่ได้เป็นที่น่าอัศจรรย์ เพราะเธอทำกับรูปท่านอย่างไร ผล อย่างเดียวกันนั้นก็กลับมาที่เธอ

เมื่อเธอยอมใจให้กับท่านฮู ก็จัดหาดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมาลาโทษ ประหลาดนักเธอก็พลันหายจากโรคคอเคล็ดในบันดล! นับว่าอำนาจของท่านฮูนั้ไม่ใช่น้อยนิดเลย

ท้าวหิรัญพนาสูร (ฮู) เมื่อหล่อและประดิษฐานบนศาลเรียบร้อยแล้ว ก็ได้กระทำพระราชพิธีบวงสรวงอย่างเป็นทางการเมื่อวันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2465 ต่อมานั้นราวอีก 2 เดือน ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายตาบ พรพยัคฆ์ มหาดเล็กซึ่งเป็นต้นแบบในการปั้นรูปท้าวหิรัญฮู ให้มีบรรดาศักดิ์เป็น “ขุนหิรัญปราสาท” เพื่อให้มีชื่อสอดคล้องกับท้าวหิรัญพนาสูร กับให้มีสร้อยเกี่ยวพันถึงปราสาทราชวังด้วย การที่นายตาบได้รับพระราชทานยศศักดิ์ครั้งนี้เห็นจะเป็นด้วยบารมีของท่านฮูเป็นแน่แท้

-----------------------------------------------------------------
ฤทธานุภาพท้าวหิรัญพนาสูร

นับแต่ชื่อท่านฮู เป็นที่แพร่หลายไปในหมู่ชาววัง ความขลังของท่านก็ดูจะครอบคลุมไปทั่วคุ้มทั่ววังและหาได้หยุดยั้งลงเพียงนั้นไม่ กลับลามเลียเข้าสู่หัวใจของชาวบ้านผู้สนใจในท่านอีกหลายร้อยหลายพันคน

ผู้ไปบนบานศาลกล่าว ผู้มีทุกข์ร้อนอันไม่เหลือวิสัย เมื่อไปอ้อนวอนขอพรท่านฮู ก็มักปรากฏเหตุอัศจรรย์ให้เขาเหล่านั้นผ่านพ้นภัยพิบัติต่าง ๆมาได้ตลอด ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของผู้ศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้เอิกเกริกครึกโครมยิ่งขึ้น




ขอตัดตอนบางข้อความของใครคนหนึ่งซึ่งประสบกับความศักดิ์สิทธิ์ของท่านท้าวหิรัญพนาสูร จากหนังสือพิมพ์รวมไทย ปีที่ 11 ฉบับที่ 441 วันที่ 11-25 ตุลาคม พ.ศ. 2527 ดังนี้

“จากคำบอกเล่าของ น.ส.ชลัช เกตุสิงห์ ซึ่งได้ป่วยมีอาการตกเลือดมาก เมื่อเร็ว ๆนี้ได้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งตัวเองบอกว่ารู้สึกตัวว่าใกล้จะหมดแรง ขณะกำลังรอหมอตรวจก็ได้รำลึกถึงท่านท้าวหิรัญพนาสูร ขอให้ช่วยให้มีสติอย่าให้ช็อคเลย ก็ปรากฏว่าร่างกายกระฉับกระเฉงจนหมอแปลกใจว่าทั้ง ๆที่เลือดออกมากแต่ยังไม่มีท่าทีอ่อนแอ กลับเดินได้จนหมอตรวจเสร็จ และให้อยู่ใน รพ. เพื่อรักษาตัวทันที ซึ่งเตียงคนไข้นั้นได้หมายเลขที่ 31 ก็ได้นำไปซื้อล็อตเตอรี่ เลขท้าย 31 และ 13 ไว้ ก็ถูกล็อตเตอรี่ จึงเชื่อมั่นว่าท่านท้าวหิรัญพนาสูรได้ช่วยมาตลอด จึงทำให้เลื่อมใสท่านมาก”

---------------------------------
หรือ พล.ต.ม.จ. พิสิษฐดิสพงษ์ ดิศกุล ประชวรโรคปัสสาวะเป็นโลหิตมารักษาองค์ที่โรงพยาบาลพญาไท นายแพทย์ทำการเอกซเรย์แล้วก็เห็นควรว่าต้องถวายการผ่าตัด แต่พระญาติได้ไปบูชาสักการะท่านท้าวหิรัญพนาสูร การณ์ก็พลิกผันด้วยโรคที่กำเริบหนักหนาในครั้งนั้น กลับหายไปได้อย่างไร้ร่องรอยโดยไม่ต้องผ่าตัดแต่อย่างใด

---------------------------------
คุณศรีศิลป์ สุขาศาสตร์ ได้เล่าถึงท้าวหิรัญฮู ขณะมานอนป่วยอยู่ ณ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ไว้ในเรื่อง “ชีวิตมหัศจรรย์ เรื่องจริงที่ประหลาด ซึ่งผู้เขียนประสบมาระหว่าง พ.ศ. 2507-2520” ความว่า

“ผมไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นวุ่นวายในวันนั้น นึกแต่ว่าจะได้กลับบ้านในวันรุ่งขึ้นเท่านั้น คืนนั้นเองก็ได้พบเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์เป็นครั้งแรกในชีวิต

ผมนอนเสียเต็มอิ่มแล้วตื่นขึ้นมาประมาณ 11.30 น. พูดแบบง่าย ๆก็คือวันนั้นเป็นวันพฤหัสบดีนั่นเอง ขณะที่ผมนอนลืมตาคิดอะไรเล่น ๆอยู่บนเตียง พอดีเห็นแมวแอบเข้ามาในห้องไม่ทราบว่ามาทางไหน ผมก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ส่งเสียงไล่แมวออกไป

ส่วนภรรยาผมนั้นนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงใกล้ ๆกัน ครู่เดียวเท่านั้นแหละครับ ไม่ทราบว่าเสียงใครพูดมาชัดถ้อยชัดคำ เป็นเสียงผู้ชาย เป็นเสียงมาไกล ๆ

“พรุ่งนี้เอ็งจะกลับบ้านแล้ว อย่าลืมไปลาข้านะ”

ผมตกตะลึงไปหมด ใคร? ใครพูดมาจากไหนกัน! เหลียวมองไปรอ ๆก็ไม่เห็นใคร ไฟฟ้าในห้องก็เปิดสว่าง ครู่เดียวก็เสียงมาอีก

“เอ็งจะไปดีแล้ว ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”

ผมนั่งตัวเย็นอยู่บนเตียงนั้นเอง คิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น ควรที่จะรีบปลุกภรรยาก็ไม่ได้ปลุก มันงงจนไม่ทราบจะทำอะไรถูก ยังไม่ทันไรก็มีเสียงนั้นอีก

“อย่าลืมไปลาข้านะ คราวนี้ข้ายังไม่เอาอะไรมาก ขอแค่พวงมาลัยสามพวง ใหญ่สองเล็กหนึ่ง”

คิดดูก็แล้วกันว่าผมจะตกตะลึงขนาดไหน มีแต่เสียง แต่ไม่เห็นคนพูด เสียงมีอำนาจอย่างไรชอบกล กินเวลาประมาณ 10 นาที ทิ้งจังหวะพูดเป็นช่วงๆ ไม่หลับไม่นอนมันแล้วครับ

หลังจากนั้นเป็นใครก็คงนอนไม่หลับเหมือนกัน แปลกเหลือเชื่อ มีแต่เสียง ไม่มีตัว อะไรกันนี่!! ปลอบอกปลอบใจเสียด้วยว่าไม่ต้องกลัวอะไรจะเกิดขึ้นกับผมอีก ท่านที่พูดมีแต่เสียงนั้นเสมือนจะทราบอะไรล่วงหน้าจึงได้ให้กำลังใจกับผม

คืนนั้นผมไม่ได้นึกกลัวอะไรเลย แปลกจริง ๆตามธรรมดาก็ไม่ใช่คนกลัวอะไร แต่เรื่องผีเรื่องสางขอยอมแพ้ แต่คราวนั้นทำไมไม่นึกกลัวเลยก็ไม่ทราบ แถมอุ่นใจด้วยซ้ำไป มีเกรง ๆบ้างด้วยรู้สึกว่าจะเป็นผู้ที่มีอำนาจอะไรสักอย่างมาพูดด้วย...”

---------------------------------
นั่นก็เป็นคำบอกเล่าของท่านผู้มีความเกี่ยวข้องกับ “อสูร” ผู้เปี่ยมเมตตาแห่งวังพญาไท ในเชิง “รักษาโรค” ปัดเป่าความทุกข์ทางธาตุขันธ์ร่างกาย บางคนอาจสงสัยว่า “ท่านฮู” บำบัดได้เพียงโรคาพยาธิเท่านั้นหรือ ไม่เท่านั้นดอกครับ ถ้าเก่งแค่นั้นก็ไม่ใช่ “องครักษ์พิเศษ” ของรัชกาลที่ 6 น่ะสิ




ย้อนหลังไปประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว จะชี้เฉพาะว่าเป็นปีอะไรผมก็จำไม่ถนัดนัก แต่ถ้าพูดถึงเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดเหตุหนึ่ง ท่านผู้อ่านคงพอนึกออกได้บ้างว่าเคยเกิดอุปัทวเหตุเรือโดยสารข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาลำหนึ่งพลิกคว่ำจมลง จมลงทั้ง ๆที่มีผู้โดยสารอยู่เพียบลำเรือ เหตุนั้นทำให้มีคนตายกันมากมายหลายสิบคน เอาเป็นว่าเกือบจะหมดลำทีเดียว เพราะมีแต่คนแออัดยัดเยียด จะหามีสักคนหนึ่งที่อยู่ในสภาพพร้อมรับมือเหตุร้ายก็เปล่า ทุกคนเตรียมตัวไปทำงาน เตรียมตัวไปเรียน เขาไม่ได้เตรียมตัวไปว่ายน้ำ

ขณะที่ผู้เคราะห์ร้ายรายหนึ่งกำลังโต้กับกระแสคลื่นน้ำที่เย็นเยียบอยู่นั้น ก็เกิดความคิดขึ้นว่าตนต้องไม่รอดเป็นแน่แท้ เพราะชุดหรือก็อมน้ำ แรงจะพยุงตัวให้ลอยก็ไม่มี ในสำนึกสุดท้ายที่กำลังจะหมดไป วินาทีนั้นเองมหัศจรรย์ก็พลันบังเกิด ด้วยมือใครไม่ทราบได้ใหญ่โตเกินจะเป็นมนุษย์มนา ผิวคล้ำอย่างคนกร้านแดดวาดเข้ามาคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อ ยื้อยุดฉุดไว้มิให้จมลง

ผู้ประสบเคราะห์ร้ายและดีพร้อม ๆกัน พยายามมองหาตัวเจ้าของมือ แต่ก็ไม่อาจพบได้ เพราะตอนนี้เขาลอยเท้งเต้งอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ใครเล่าจะเก่งกล้าสามารถขนาดเอาตัวเองเป็นหลักพยุงคนอื่นไว้ได้ คิดถึงตรงนี้ก็ขนลุกซู่ชูชัน รู้ทันทีว่าต้องเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาคุ้มครองเป็นแน่แท้

เมื่อมีผู้มาช่วยเหลือขึ้นฝั่งได้สำเร็จ เขาก็สำรวจตรวจตราตังเอง จึงได้พบตัวเขานั้นมีเหรียญท่านท้าวหิรัญพนาสูรอยู่เพียงเหรียญเดียว จะแขวนหรือเหน็บอยู่ผมก็ลืมถามเสีย รู้แตว่าเหรียญนั้นอยู่ติดกับตัวและติดอยู่จนทุกวันนี้ ผมไม่อาจเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามของเขาได้ บอกได้แต่เพียงว่าเขาเป็นแพทย์อยู่ รพ.ศิริราช

ที่เกือบตายก็เพราะจะข้ามไปทำงานนี่แหละ

ความจริงแล้วยังมีอีกคนหนึ่งที่รอดตายจากเหตุการณ์วันนั้น และคนนี้ก็ประสบความศักดิ์สิทธิ์ของท่านฮูในลีลาที่คล้ายคลึงกัน คือมีมือมาคว้าคอเสื้อไว้ไม่ให้จมลง คนก็แขวนเหรียญรุ่นเดียวกันนี้แหละ

ท่านมีสองมือ ท่านก็คว้าสองคน พอดีเลยเนาะ

---------------------------------
ไม่ใช่ว่าผมจะฟังแต่เขาเล่าหรอกหนา ผมเองก็ประสบพบเจอเองเหมือนกัน นั่นเป็นวันแรกที่ผมนัดกับ ร.อ.ฉัตรไชย ประจุศิลป์ ที่กองวิทยาการ กรมแพทย์ทหารบก ว่าจะไปรับเหรียญท้าวหิรัญฮูรุ่นแรกที่ยังมีเหลืออยู่ ร.อ.ฉัตรไชย ท่านก็ยุ่งเรื่องงาน ผมเองก็แย่เรื่องรถติด กว่าจะกระดึบคืบคลานผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปได้ ผมก็เจียนคลั่ง เพราะเวลามันเหลืออีกเพียงไม่กี่นาทีก็จะเป็นเวลา 16.30 น. อันเป็นเวลาเลิกงานของข้าราชการ

ท่านฉัตรไชย ก็ย้ำนักย้ำหนาว่าให้มาก่อนสี่โมงสิบห้า เพราะท่านต้องไปรับลูกและภรรยา แต่การจราจรมันไม่เอื้ออำนวยผมเลยกลุ้มมาก ผมก็พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมน้อมใจอธิษฐานอยู่ในรถที่ติดเป็นบ้าเป็นหลังว่า “ท่านปู่ (ท้าวหิรัญฮู) ผมมีความตั้งใจมารับเหรียญไปสักการะบูชาด้วยใจจริง หากว่าท่านปู่รับทราบและเห็นใจ โปรดทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ให้ผมได้พบ ร.อ.ฉัตรไชย และให้ได้เหรียญกลับบ้านด้วยเถิด หากว่าเป็นไปดังคำขอ ผมจะเอาพวงมาลัย 3 พวงไปถวายที่ศาลให้ได้ภายในวันนี้เช่นกัน”

จบคำอธิษฐาน ผมก็เบาใจขึ้นมาหน่อย คล้าย ๆกับเราได้ระบายความรู้สึกให้ใครสักคนฟัง พอรถเคลื่อนตัวเข้าไปติดอยู่ในถนนราชวิถี น้องชายผมก็บอกว่า

“พี่ต่อ วิ่งข้ามสะพานลอยไปเองเถอะ ไม่อย่างนั้นไม่ทันแน่ เดี๋ยวอั๊วจะเอารถเข้าไปจอดในซอยตรงข้ามกรมแพทย์เอง”

ผมเห็นด้วยในทันที จึงรีบลงจากรถควบปุเลง ๆไปยังกรมแพทย์ฯ ด้วยใจระทึก ลุ้นอยู่ว่าทันหรือไม่ทัน เพราะนี่ก็อีก 4 นาทีจะสี่โมงครึ่ง ท่านฉัตรไชยจะไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้

พอผมพรวดพราดเข้าไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ในตึก ก็ต้องประหลาดใจว่า กรมแพทย์เขาช่างประหยัดไฟกันเสียจริง ยังไม่สี่โมงครึ่งดีเลยก็ปิดไฟเสียทั้งตึก ละล่ำละลักว่า ร.อ.ฉัตรไชย ประจุศิลป์ กลับไปหรือยัง ผมเข่าอ่อนยวบกับคำตอบ

“เดินออกไปแล้วค่ะ”

แต่ความอยาก ทำให้ผมไม่ถอย รีบถามต่อเลยว่า

“ห้องท่านอยู่ไหนครับ”

“ขึ้นชั้นสอง พ้นบันไดแล้วเลี้ยวซ้ายค่ะ จะขึ้นไปทำไมคะ เขากลับไปแล้วนี่คะ”

ผมไม่สนหรอก บอกขอบคุณแล้วก็ควบขึ้นไปชั้นสองทันที มาถึงที่แล้วนี่นาขอให้เห็นหน้าห้องก็ยังดี วันหน้าวันหลังมาจะได้ไม่ต้องถาม พอถึงชั้นบนผมก็ยืนงง เพราะในตัวตึกมืดครึ้มอึมครึมไปหมด มองหน้ากันก็เห็นอย่างสลัวลางเหลือเกินสุดจะคลำทางต่อไป จึงเอ่ยถามสุภาพสตรีเลือดทหารท่านหนึ่ง ท่านก็ดีใจหายพาไปชี้ให้ดูห้องเสร็จสรรพ

ผมกล่าวขอบคุณแล้วก็เคาะประตูห้องกระจกก่อนจะเปิดก้าวเข้าไป ภายในห้องสว่างกว่าข้างในตึกนิดหน่อยเพราะมีหน้าต่าง ร.อ.ฉัตรไชย ลุกจากโต๊ะทำงานมาสนทนากับผมอย่างเป็นกันเองด้วยความใจดีเหลือจะกล่าว ก็คุยกันมืด ๆอย่างนั้นแหละ

ทักทายกันไปพอสมควรแล้ว ประโยคต่อมาทำเอาผมน้ำลายเหนียวแทบจะเคี้ยวได้เลย ท่านว่า

“นี่ผมก็เตรียมตัวจะกลับตั้งนานแล้วนะนี่ คิดว่าคุณจะไม่มาเสียแล้ว แต่อยู่ ๆไฟก็ดับ ผมเลยเก็บของเก็บเอกสารไม่ได้ เลยนั่งรออยู่สักพักหนึ่ง คุณก็มาพอดี”

โอ้โฮ ! อะไรจะอัศจรรย์ขนาดนั้น ผมหัวใจพองคับอก เชื่อมั่นว่าต้องเป็นเพราะท่านท้าวช่วยเหลือเป็นแน่ ผมจึงคุยกับท่านฉัตรไชยอย่างเต็มตื้นที่สุด และเมื่อถึงตอนที่ ร.อ.หนุ่มเข้าไปในห้องหยิบเหรียญพร้อมกับหนังสือประวัติ และรูปภาพบูชามาให้ ท่านก็เอ่ยว่า

“ผมเห็นว่าคุณศรัทธาในท่านท้าวหิรัญพนาสูร ก็เลยมอบหนังสือให้พร้อมภาพบูชา ซึ่งจริง ๆแล้วของสองอย่างนี้ผมไม่ค่อยได้ให้ใคร ต้องขอดูความศรัทธาเขาก่อน เพราะหนังสือและภาพนี้ส่วนที่ไว้แจกหมดไปนานแล้ว”

ผมน้อมรับของทั้งหมดด้วยความยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง นึกในใจว่าท่านฮูและร.อ.ฉัตรไชย ช่างกรุณาผมเสียจริง เชื่อไหมครับ ทันทีที่ผมรับของที่ต้องการมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้า ไฟฟ้าก็ติดพรึ่บขึ้น สว่างจ้าไปทั้งห้อง ผมมองหน้า ร.อ.ฉัตรไชย ได้ถนัดชัดตาเป็นครั้งแรก ท่านเองก็มองหน้าผมอย่างกับจะรู้ใจ ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า

“ผมชักสงสัยแล้วละว่า ท้าวหิรัญฮู อาจจะช่วยเหลือคุณ เพื่อให้ผมอยู่คอยคุณก่อนก็ได้นะ”

แหม! มันช่างตรงกับใจผมเสียเหลือเกิน ผมจึงเล่าให้ท่านฟังหมดว่าอธิษฐานอะไร อย่างไร เล่าจบ ท่านก็บอกให้ผมรีบไปแก้บนที่ศาลท่านฮูเสียเร็ว ๆก่อนจะมืด เพราะท่านฮูไม่ชอบคนผิดสัจจะ

ผมก็เลยมีอันไปนั่งเอี่ยมเฟี้ยมอยู่หน้าศาลท่านจนได้ กราบแล้วกราบอีกระลึกถึงคุณท่านอยู่ไม่รู้วาย หากท่านไม่ช่วย การเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเดินทางไปบูชาเหรียญของผมในครั้งนั้น ก็เสียเที่ยวเปล่าเป็นแน่ ผมจึงเชื่อมั่นในท่านจริง ๆ


ความคิดเห็นที่ 1
ผู้แสดงความคิดเห็น :
Rambo_Thai
แสดงความคิดเห็นเมื่อ: 16 ม.ค. 56 - 08:01:35


อ.
ความคิดเห็นที่ 2
ผู้แสดงความคิดเห็น :
Rambo_Thai
แสดงความคิดเห็นเมื่อ: 16 ม.ค. 56 - 08:04:05


ท้าวหิรัญพนาสูร ประดิษฐาน ในวังพญาไท ใกล้ๆ กับ โรงพยาบาล พระมงกุฏ ในรูปนี้ คือวังพญาไท ครับ
ความคิดเห็นที่ 3
ผู้แสดงความคิดเห็น :
sutee
แสดงความคิดเห็นเมื่อ: 16 ม.ค. 56 - 21:58:59

แหมขยันพิมพ์จริงๆ นะครับพี่ท่าน เป็นความรู้ครับ เต็มที่ครับ
ความคิดเห็นที่ 4
ผู้แสดงความคิดเห็น :
Rambo_Thai
แสดงความคิดเห็นเมื่อ: 17 ม.ค. 56 - 11:49:22

ใช่ครับ ผมใช้ชื่อ Rambo_Thai ทุกๆ web ที่ ผมเป็นสมาชิกอยู่ มาโดยตลอด ไม่มีการเปลี่ยน ชื่อ เป็นอย่างอื่น ครับ และผมก็เป็นผู้เรียบเรียง รวบรวม ประวัติการสร้าง เหรียญพระยาพิชัยดาบหัก จากหนังสือหลายๆเล่ม ข้อมูลหลายๆ ที่แล้ว ลงใน webside ต่างๆ หลายๆ web ครับ
ความคิดเห็นที่ 5
ผู้แสดงความคิดเห็น :
Chicago
แสดงความคิดเห็นเมื่อ: 17 ม.ค. 56 - 13:07:24

พี่ rambo_thai ผม ลุงแซม ครับ จาก web U อะ เบอร์ผม 083-993-244 ครับ ผมขอเบอร์พี่ไม่ทราบว่าสะดวกหรือป่าวครับ
ความคิดเห็นที่ 6
ผู้แสดงความคิดเห็น :
Rambo_Thai
แสดงความคิดเห็นเมื่อ: 17 ม.ค. 56 - 17:56:59

ได้ครับโทรมาคุยกันได้ ด้วยความยินดี 081-931-0080ครับ
ความคิดเห็นที่ 7
ผู้แสดงความคิดเห็น :
Chicago
แสดงความคิดเห็นเมื่อ: 18 ม.ค. 56 - 16:05:42

ขอบคุณมากครับ พี่ rambo_thai

ท่านต้องสมัครสมาชิกก่อนถึงจะมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นในกระดานนี้ได้


สมัครสมาชิกใหม่ คลิ๊กที่นี่ได้เลย ! ! ฟรี ! ! ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น