หัวข้อกระทู้ : ล็อกเก็ต เปิดโลก ยอดนิยม สร้างแค่ 1000 อันเท่านั้น
ผู้ตั้งกระทู้ : Rambo_Thaiตั้งกระทู้เมื่อ : 25 ม.ค. 54 - 16:37:04
รายละเอียด


ล็อกเก็ต เปิดโลก หลวงปู่ดู่ วัดสะแก หลังป้ายผงมหาจักรพรรดิ์ และเส้นเกศา หลวงปู่ดู่ เลี่ยมทองหนายกซุ้ม น้ำหนัก เกือบ 75 สคางค์ เดิมๆ จากร้านทอง แม่ทองใบ ยอดนิยม สร้างแค่ 1,000 อัน เท่านั้น ครับ

คัดลอกจาก : หนังสือกายสิทธิ์ เป็นส่วนใหญ่

คณะของคุณวรวิทย์ ด่านชัยวิจิตร มีศรัทธาสร้างรูปของหลวงปู่ แต่ท่านให้สร้างเป็นรูปของหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืดแทน
ในวันพิธีเสกวัตถุมงคล หลวงปู่ทวด ฝนตกลงมาอย่างหนัก รู้สึกประหลาดใจ เพราะเมื่อไปถึงวัด ผู้คนวันนั้นมีมากเกินกว่าที่คิดไว้ ของที่นำมาปลุกเสก ทั้งจากผู้สร้างและผู้นำมาเข้าร่วมพิธี สูงจนท่วมตัวหลวงปู่ ทุกคนที่มาในพิธีอาจจะคิดไม่ถึงก็ได้ว่า นี่เป็นวาระสุดท้ายที่หลวงปู่จะโปรดพวกลูกศิษย์ของท่าน ซึ่งหลวงปู่ได้เป็นผู้กำหนดวันพิธีไว้ล่วงหน้าคือ วันอังคารที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๒


วัตถุมงคลที่สร้างขึ้นในครั้งนี้ประกอบด้วย

๑.เหรียญทองคำ ๒๔๐ เหรียญ
๒.เหรียญเงิน ๑,๐๓๖ เหรียญ
๓.เหรียญทองแดง ๑๐,๕๐๐ เหรียญ
๔.พระผง ๕,๐๐๐ องค์
(ในจำนวนนี้มีพระผงที่ฝังพระธาตุเอาไว้ด้วย จำนวน ๓๖๐ องค์)
๕.ตะกั่วผสมพลวง ๑,๐๐๐ เหรียญ
๖.โปสเตอร์รูปหลวงปู่ดู่ ๑๐,๐๐๐ แผ่น
๗.ลูกแก้วสารพัดนึก ๕,๐๐๐ ลูก

นอกจากนี้ยังมี
ล็อกเก็ต รูปไข ่และ รูปสี่เหลี่ยม รูปคู่หลวงปู่ทวด และหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวดเดี่ยว หลวงปู่ดู่เดี่ยว มีรูปอมยิ้ม และ ธรรมดา ด้านหลังป้ายบรรจุผงมหาจักรพรรดิ์และเกศาของหลวงปู่ดู่ ที่สร้างโดย ร้านทองแม่ทองใบ เพื่อ แจกลูกค้าของร้าน ประมาณ1,000 อัน
เหรียญหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง ปี 2532 มีเนื้อ ทองคำ เงิน ตะกั่ว และทองแดง จำนวนไม่ระบุ ปลุกเสกท ี่วัดพนัญเชิง ก่อนที่จะนำมามาปลุกเสก พิธีเปิดโลกอีกที

สำหรับเหรียญทองคำ เงิน และทองแดง ได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก พร้อมกับเหรียญหลวงพ่อหวล ภูริทัตโต วัดพุทไธศวรรย์ ในวาระอายุครบ ๕ รอบ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๒....
ในพิธีพุทธาภิเษกนี้ นอกจากหลวงพ่อหวล เจ้าอาวาส ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราชแล้ว ยังได้กราบอาราธนาพระผู้ทรงวิทยาคุณองค์อื่นๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ หลวงพ่อทิม วัดพระขาว หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา และอาจารย์แม้น วัดหน้าต่างนอก นอกจากนี้ก็ยังมีศิษย์ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ พระอาจารย์สุทิน วัดสะแก ศิษย์ของหลวงปู่ดู่ และหลวงพ่อมหาวีระ วัดท่าซุง ฯลฯ
วัตถุมงคลต่างๆ ที่สร้างขึ้นในครั้งนี้ คณะของคุณวรวิทย์ได้แจกจ่ายให้กับศิษย์ที่ปฏิบัติธรรมโดยไม่ต้องเสียเงินใดๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นเหรียญชนิดเงินและทอง ซึ่งคิดเท่ากับต้นทุนตามที่มีผู้สั่งจอง
ปัจจุบันวัตถุมงคลดังกล่าว ยังมีเหลืออยู่บ้างในจำนวนไม่มากนัก ซึ่งต้องแล้วแต่กาลเวลา เพราะต้องดูโอกาสที่ควรจะเปิด ท่านที่อยากได้ก็จงอธิษฐาน ปฏิบัติธรรมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา นึกถึงหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ถ้าวาสนาของท่านดี คงมีโอกาสได้รับวัตถุมงคลรุ่นนี้ ที่เรียกกันว่า \"รุ่นเปิดสามโลก\" หรือที่เซียนพระเรียกว่า \"รุ่นดัง\" นั่นเอง
มีเพื่อนของลูกศิษย์ผู้เขียนเคยนำหนังสือ พระผู้จุดประทีปในดวงใจ ซึ่งพิมพ์ครั้งพระราชทานเพลิงศพของพ่อผู้เขียน ไปถวายเพื่อนของเขาซึ่งบวชเป็นพระภิกษุ เมื่อเขาเห็นหนังสือ เขาได้บอกว่า \"เพิ่งจะรู้ว่าหลวงพ่อดู่ที่หลวงพ่อเกษมกล่าวถึงคือองค์นี้เอง\" จึงได้เกิดการซักถามกันขึ้น พระจึงเล่าให้ฟังว่า เคยไปนมัสการหลวงพ่อเกษม กับโยมมารดาของท่าน ตั้งแต่ยังไม่ได้บวช มารดาได้พาไปนมัสการหลวงพ่อเกษม เพื่อจะขอบารมีให้ลูกชายบวช หลวงพ่อเกษมท่านนั่งหลับตานิ่งอยู่ ได้เอ่ยถามมารดาของท่านว่า \"รู้จักหลวงพ่อดู่ วัดสะแกไหม\" ซึ่งมารดาเรียนตอบท่านว่า ไม่เคยรู้จัก หลวงพ่อเกษมท่านจึงพูดต่ออีกว่า \"เคยได้ยิน เหรียญเปิดโลกไหม\" เธอก็ตอบอีกว่า \"ไม่เคยได้ยิน\" หลวงพ่อเกษมจึงพูดขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า \"ให้ไปหามาบูชา เหรียญนี้ดี กันนิวเคลียร์ได้\" พระองค์นี้ก็ได้แต่สงสัยว่า หลวงพ่อดู่อยู่ที่ไหน และจะหาเหรียญได้ที่ใด เป็นเวลาเกือบปี จึงเกิดความกระจ่างจากหนังสือที่ได้รับ

มีหลายคนทีเดียวที่กล่าวอ้างถึงชนวนวัตถุมงคลรุ่นเปิดโลก วันนี้ก็เลยถือโอกาสเปิดเผยข้อมูลที่ยังไม่เคยเปิดเผย แม้กับคนใกล้ตัว เพราะเหตุว่าไม่เห็นความจำเป็น แต่มาตอนนี้ สังเกตว่ามีหลายท่านสนใจเชิงลึกกับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องวัตถุมงคล จึงนำมาเล่าสู่กันฟังครับ

ในตอนสร้างวัตถุมงคลรุ่นเปิดโลกนั้น (ซึ่งตอนนั้นก็มิได้ตั้งชื่อรุ่นแต่อย่างใด เป็นแต่เรียกกันเองว่าเหรียญหลวงปู่ทวด ขอบลายกนก) คณะผู้จัดทำ ตระเวนขอเนื้อชนวนโลหะ ที่หลวงปู่เคย อธิษฐานไว้ให้กับลูกศิษย์อาวุโสหลายท่าน สุดท้ายก็รวบรวมได้ประมาณ 1 กล่อง (กล่องเบียร์สิงห์) ซึ่งก็ถือว่ามากพอควร จากนั้น ก็นำมาไปให้กับช่างแกะพระ (ช่างอ๊อด)

ความจริงได้ถูกเปิดเผยภายหลังเหรียญจัดทำเสร็จ โดยช่างอ๊อดสารภาพว่าลืมนำเนื้อชนวนไปผสมทำเหรียญ พอนานวันไป ช่าง ก็ยังหาไม่พบเนื้อชนวนดังกล่าว สุดท้ายก็ไม่ได้เนื้อชนวนคืน จนบัดนี้ นี่คือเนื้อชนวนชั้นที่หนึ่งที่ไม่ได้นำมาผสม

ส่วนเนื้อชนวนชั้นที่สอง คือเนื้อโลหะที่เหลือจากการปั๊มเหรียญเปิดโลกนั้น ก็ไม่มี เพราะไม่ได้ขอ (คณะผู้จัดทำมิได้มีเจตนาจะสร้างพระรุ่นใดต่ออีก) แต่อย่างไรก็ดี ทางช่างก็มอบเศษขอบเหรียญที่เหลือจากการปั๊มมานิดหน่อย ซึ่งภายหลังก็ได้นำไปผสมสร้างเหรียญรุ่นรวมใจไปจนหมด

สรุปก็คือ ก่อนสร้างเหรียญเปิดโลก ก็ไม่ได้ใช้เนื้อชนวน ภายหลังสร้างก็ไม่ได้เก็บเนื้อชนวน เรื่องก็เป็นอย่างนี้ แต่ถามว่าทางคณะผู้จัดทำรู้สึกไม่มั่นใจในพุทธคุณของเหรียญนี้หรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่มีนัยสำคัญแต่อย่างใดเลย เพราะคณะศิษย์ผู้สร้างมั่นใจในคุณธรรมของหลวงปู่ และมั่นใจในเจตนาการอธิษฐานพระของหลวงปู่ เนื่องจากครั้งนั้น หลวงปู่เป็นผู้กำหนดฤกษ์เอง ทั้งที่หลวงปู่ประกาศ งดการอธิษฐานพระให้กับวัด หรือคณะใด ๆ ก่อนหน้านี้แล้ว

ประกอบกับหลวงปู่ดู่ท่านก็เคยยืนยันมาว่า หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ท่านมีบารมีเต็มแล้ว วัดไหนสร้างก็ศักดิ์สิทธิ์หมด เพราะบารมีหลวงปู่ทวดท่านเต็มท้องฟ้า แล้วนี่ เป็นเหรียญหลวงปู่ทวดที่หลวงปู่ดู่เสก ทำไมจะต้องคำนึงถึงเนื้อชนวนให้มากด้วยเล่า เข้าทำนองว่ามีก็ดี ไม่มีก็ได้

สาระสำคัญมิได้อยู่ที่เนื้อชนวนอย่างเดียวหรอก หากแต่อยู่ที่การอธิษฐานจิต ของเกจิอาจารย์ ผู้อธิษฐานจิต ปลุกเสก และจิตศรัทธาอันยึดมั่นของผู้ใช้บูชาเป็นสำคัญ

ย้อนระลึกได้เพิ่มเติมว่าในช่วงที่กำลังติดตามดูความคืบหน้าของการสร้างเหรียญหลวงพ่อทวด (เปิดโลก) อยู่นั้น ทางช่างอ๊อดก็จะปั๊มเหรียญออกมาให้ดูเป็นระยะ ๆ เพื่อดูความคมชัดของการแกะ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่ ผู้ที่มีจิตสัมผัสในทางนี้เดินทางไป ดูการปั้มเหรียญรุ่นนี้ ด้วย พอเขาเอาเหรียญลองปั๊ม มากำดูก็แปลกใจว่าทำไมจึงมีพลังแรง ประกอบกับเห็นมีเทวดารักษาองค์พระ ทั้ง ๆ ที่เหรียญนี้ยังไม่ได้ยังไม่ได้เข้าพิธี ซึ่ง แต่ก่อน หลวงปู่ดู่ ท่าน เคยบอกกล่าวกับศิษย์ หลายๆครั้ง ว่าเฉพาะรูปถ่ายพระอริยเจ้า ผู้ทรงอภิญญาเท่านั้น ที่ไม่จำเป็นต้องปลุกเสก ก็ล้วนแต่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสิ้น ส่วนเหรียญปั๊ม หรือ รูปหล่อ ต่าง ๆ นั้น จำเป็นต้องผ่านพิ ธีปลุก เสก เป็นอย่างยิ่ง (ซึ่งถ้าไม่ผ่านการปลุกเสกไม่อย่างนั้น ซึ่งก็ไม่แตกต่าง จาก ตุ๊กตุ่น ตุ๊กตา ของ เด็กเล่น เท่านั้นเอง ท่านได้พูดกับศิษย์ไว้เช่นนี้) นั่นก็แสดงให้เห็น ได้อย่างชัดเจน อย่างแท้จริงอย่าง ที่หลวงปู่ดู่ท่านได้เคยพูดกับศิษย์ แล้วอย่างแท้จริง ตัวอย่าง เช่น รูปถ่ายหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน พิจิตร ที่ติดประกาศงาน วัด หรือ ที่ป้าย สส.โฆษณา หาเสียง ที่มีรูปหลวงพ่อเงิน ที่พิจิตร ติดอยู่ ทำไมขี้เมาจึงใช้ปืน .38 ลูกโม่ 6 นัด ยิง รูปหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน พิจิตร ที่ติดประกาศ ทั้งๆที่ที่ยังไม่ผ่านการปลุกเสกเลย ไม่ออกแม้แต่นัดเดียว แต่พอยกปืนยิงขึ้นฟ้าออกทั้ง 6 นัด ซึ่งเป็นข่าวใหญ่โต เมื่อหลายปี ก่อน ที่ จังหวัดพิจิตร

พอคณะศิษย์ได้นำเรื่องนี้ ที่เหรียญหลวงปู่ทวด ที่ยังไม่ผ่านการ ยังมีพลัง ไปกราบเรียนหลวงปู่ จึงได้ทราบว่าหลวงปู่ท่านได้ อธิษฐานให้ตลอดกระบวนการผลิต ในการปั้มเหรียญ นั่นหมายความว่าฤกษ์ที่หลวงปู่กำหนดนั้น เป็นเพียงนำวัตถุมงคลทั้งหมด (ที่หลวงปู่ได้ปลุกเสกให้ก่อนแล้ว) มาปลุกเสกต่อยอดในพิธี อีกที ทำให้ศิษย์หายสงสัยว่า ทำไมท่านจึงไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเสกนาน ๆ เหมือน กับพระเครื่องบางรุ่น

จากลูกศิษย์ท่านหนึ่งของหลวงปู่ดู่

ประวัติ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก
ประวัติ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา ชาติภูมิ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2447 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะโรง เป็นวันเพ็ญวิสาขปุรณมี ณ บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โยมบิดาชื่อ พุด โยมมารดาชื่อ พ่วง นามสกุล หนูศรี มีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน 3 คน ตัวท่านเป็นคนสุดท้อง เมื่อหลวงพ่อถือกำเนิดได้ไม่นาน มารดาของท่านก็เสียชีวิต และเมื่อท่านอายุได้ 4 ปี บิดาของหลวงพ่อก็เสียชีวิตอีก ทำให้หลวงพ่อกำพร้าตั้งแต่วัยเยาว์ ท่านจึงได้อาศัยอยู่กับยาย และ พี่สาวชื่อ สุ่ม เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่ เมื่อท่านถึงวัยที่ต้องศึกษา ก็ได้ศึกษาเล่าเรียนที่ วัดกลางคลองสระบัว วัดประดู่ทรงธรรม และวัดนิเวศธรรมประวัติ ตามลำดับ เมื่อตอนที่ท่านยังเป็นทารกมีเหตุอัศจรรย์ที่ทำให้เชื่อว่าท่านจะต้องเป็นผู้มีบุญวาสนามาเกิด คือในช่วงหน้าน้ำหลาก คืนหนึ่งขณะที่บิดาและมารดากำลังทำขนมอยู่นั้น มารดาท่านได้วางตัวท่านไว้บนเบาะนอกชานบ้าน แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดตัวท่านได้กลิ้งตกลงไปน้ำ แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ตัวท่านกลับไม่จมน้ำ กลับลอยน้ำไปติดอยู่ข้างรั้ว กระทั่งสุนัขที่บ้านเลี้ยงไว้ มาเห็นเข้าจึงเห่าและวิ่งกลับไปกลับมา มารดาท่านจึงสงลัยว่าคงจะมีเหตุการณ์ผิดปกติ จึงได้ตามสุนัขออกมาดู ก็พบท่านลอยน้ำอยู่ติดกับข้างรั้ว อุปสมบท เมื่อท่านอายุได้ 21 ปี ก็ได้บรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2468 ตรงกับวันอาทิตย์แรม 4 ค่ำ เดือน 6 ณ อุโบสถวัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อแด่ เจ้าอาวาสวัดสะแก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อฉาย วัดกลางคลองสระบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับ ฉายาว่า “ พรหมปัญโญ ” ศึกษาธรรม ในพรรษาแรกๆ นั้น หลวงปู่ดู่ ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัด ประดู่ทรงธรรม (ในสมัยนั้นเรียกว่าวัด ประดู่โรงธรรม) โดยศึกษากับ ท่านเจ้าคุณเนื่อง พระครูชม หลวงพ่อรอด (เสือ) เป็นต้น ในด้านการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน นั้น หลวงปู่ดู่ ได้ ศึกษา กับ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม ผู้เป้นพระอุปัชฌาย์ และ หลวงพ่อเภา ซึ่งเป็นศิษย์องค์สำคัญของหลวงพ่อกลั่น และ มีศักดิ์เป็นอาของท่าน เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่ 2 ประมาณปลายปี พ.ศ. 2469 หลวงพ่อกลั่นก็ได้มรณภาพ ท่านจึงได้ศึกษากับหลวงพ่อเภาเป็นหลัก นอกจากนี้ยังได้ศึกษาจากตำราที่มีอยู่ จากชาดกบ้าง ธรรมบทบ้าง และด้วยความที่ท่านเป็นผู้รักการศึกษา ท่านจึงได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจาก พระอาจารย์อีกหลายท่าน ที่ จังหวัดสุพรรณบุรี สระบุรี ฯลฯเมื่อพ.ศ. 2486 ครั้นออกพรรษาแล้ว หลวงพ่อก็ออกเดินธุดงค์ จากวัดสะแก มุ่งหน้า สู่ป่าเขาแถบจังหวัดกาญจนบุรี ในระหว่างทาง ก็แวะนมัสการสถานที่สำคัญต่างๆ ทางพุทธศาสนา นิมิตธรรม ในคืนหนึ่ง ในช่วงก่อน ปี พ.ศ.2500 เล็กน้อย หลังจากที่ท่านสวดมนต์ทำวัตรเย็น และเข้าจำวัดแล้วนั้น เกิดนิมิตไปว่าได้ฉันดาว ที่มีแสงสว่างมากเข้าไป 3 ดวง ขณะที่ฉันนั้นรู้สึกว่า กรอบๆ ดี เมื่อฉันหมดก็ตกใจตื่น ท่านจึงได้พิจารณานิมิตที่เกิดขึ้น ก็เกิดความเข้าใจในนิมิตนั้นว่า ดาวสามดวง ก็คือ ดวงแก้วไตรสรณาคมน์ นั้นเอง ท่านจึงท่อง“ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ” ก็เกิดปิติขึ้นในจิตท่านอย่างท่วมท้น เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และมั่นใจว่า การยึดมั่นพระไตรสรณาคมน์ เป็นวิธี ที่เข้าสู่แก่นแท้ เป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา ท่านจึงกำหนดเอา พระไตรสรณาคมน์ เป็นองค์บริกรรมภาวนา เมตตาธรรม หลวงปู่ดู่ ท่านให้การต้อนรับแขกอย่างเสมอเท่าเทียมกันหมด ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ท่านจะพูดห้ามปรามหากมีผู้เสนอตัวเสนอหน้าคอยจัดแจงเกี่ยวกับแขกที่มาหาท่าน เพราะท่านทราบดีว่ามีผู้ใฝ่ธรรมจำนวนมากที่อุตสาห์เดินทางมาไกล เพื่อนมัสการและซักถามข้อธรรมจากท่าน หากมาถึงแล้งยังไม่สามารถเข้าพบได้โดยสะดวก ก็จะทำให้เสียกำลังใจ เป็นเมตตาธรรมอย่างสูงที่หลวงพ่อมีให้ศิษย์ทั้งหลาย และหากมีผู้สนใจการปฏิบัติกรรมฐาน มาหาท่าน ท่านจะเมตตาสนทนาธรรมเป็นพิเศษอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย หลวงปู่ทวด ท่านให้ความเคารพในองค์หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ เป็นอย่างมากทั้งกล่าวยกย่อง ว่าหลวงปู่ทวดท่านเป็นผู้ที่มีบารมีธรรมเต็มเปี่ยม เป็นโพธิสัตว์จะได้มาตรัสรู้ ในอนาคต ให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ยึดมั่น และระลึกถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อติดขัดในระหว่างการปฏิบัติธรรม หรือประสบปัญหาทางโลก ท่านว่า หลวงปู่ทวดท่านคอยที่จะช่วยเหลือทุกคนอยู่แล้ว แต่ขอให้ทุกคนอย่าท้อถอย หรือละทิ้งการปฏิบัติ สร้างพระ หลวงพ่อดู่ ท่านมิได้ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ การที่ท่านสร้าง หรืออนุญาตให้สร้างพระเครื่องหรือพระบูชา ก็เพราะเห็นว่า บุคคลจำนวนมากยังขาดที่ยึดเหนี่ยงทางด้านจิตใจ เพราะศิษย์ หรือ บุคคลนั้น มีทั้งที่ใจใฝ่ธรรมล้วนๆ กับ ยังต้องอิงกับวัตถุมงคล ท่านเคยพูดว่า “ติดวัตถุมงคลยังดีกว่า ที่จะไปให้ติดวัตถุอัปมงคล” แม้ว่าหลวงปู่ดู่ท่านจะรับรองในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องที่ท่านอธิฐานจิตให้ แต่สิ่งที่ท่านยกไว้เหนือกว่านั้นก็คือการปฏิบัติ การภาวนา นี้แหละ เป็นสุดยอดแห่งเครื่องรางของขลัง บางคนมาหาท่านเพื่อต้องการของดีเช่นเครื่องรางของขลัง ซึ่งมักจะได้รับคำตอบจากท่านว่า “ ของดีนั้นอยู่ที่ตัวเรา พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นี่แหละของดี ” ปัจฉิมวาร นับตั้งแต่ พ.ศ. 2527 เป็นต้นมาสุขภาพหลวงพ่อเริ่มทรุดโทรม เนื่องการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ด้วยเหตุจากการที่ต้องต้อนรับแขก และบรรดาศิษย์ทั่วทุกสารทิศ ที่นับวันก็ยิ่งหลั่งไหลกันมานมัสการท่านมากขึ้นทุกวัน แม้บางครั้งจะมีโรคมาเบียดเบียนอย่างหนัก ท่านก็อุตส่าห์ออกโปรดญาติโยมเป็นปกติ พระที่อุปัฏฐากท่าน เล่าว่า บางครั้งถึงขนาดที่ท่านต้องพยุงตัวเองขึ้นด้วยอาการสั่น และมีน้ำตาคลอเบ้า ท่านก็ไม่เคยปริปากให้ใครต้องเป็นกังวลเลย ภายหลังตรวจพบว่า หลวงพ่อ เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว แม้ว่าทางคณะแพทย์ จะขอร้องท่านให้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ท่านก็ไม่ยอมไป ประมาณปลายปี พ.ศ.2532 หลวงปู่ดู่พูดบ่อยครั้ง เกี่ยวกับ การที่ท่านจะละสังขาร ซึ่ง ในขณะนั้นหลวงปู่ดู่ท่านได้ใช้หลักธรรม ขันติ คือความอดทนอดกลั้นระงับ ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นจากโรคภัย จิตของท่านยังทรงความเป็นปรกติสงบเย็น จนทำให้คนที่แวดล้อมท่านไม่อาจสังเกตเห็นถึงปัญหาโรคภัยที่คุกคามท่านอย่างหนัก วันอังคารที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2533 ช่วงเวลาบ่ายนั้น มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งมากราบท่านเป็นครั้งแรก หลวงพ่อท่านได้ลุกขึ้นนั่งตอนรับ ด้วยใบหน้าที่สดใส ราศีเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ จนบรรดาศิษย์ เห็นผิดสังเกต หลวงพ่อยินดีที่ได้พบกับศิษย์ผู้นี้ ท่านว่า “ต่อไปนี้ ข้าจะได้หายเจ็บไข้เสียที ” คืนนั้นมีคณะศิษย์มากรายท่าน ท่านได้พูดว่า “ ไม่มีส่วนใดในร่างกายที่ไม่เจ็บปวดเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าห้อง ICU ไปนานแล้ว ” พร้อมทั้งพูดหนักแน่นว่า “ข้าจะไปแล้วนะ” และกล่าวปัจฉิมโอวาทย้ำให้ทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท “ถึงอย่างไรก็ขอให้อย่าได้ละทิ้งการปฏิบัติ ได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติ ก็เหมือนนักมวย ขึ้นเวทีแล้วต้องชก อย่ามัวแต่ตั้งท่า เงอะๆ งะๆ” หลังจากคืนนั้นหลวงพ่อก็กลับเข้ากุฏิ และละสังขารไปด้วยอาการสงบด้วยโรคหัวใจ ในกุฏิท่านเมื่อเวลาประมาณ 5 นาฬิกา ของ วันพุธที่ 17 มกราคมพ.ศ. 2533 รวมสิริอายุได้ 85 ปี 8 เดือน 65 พรรษา ยังความเศร้าโศกและอาลัยแก่ ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างยิ่ง อุปมาดั่งดวงประทีปที่เคยให้ความสว่าง ดับไป แต่เมตตาธรรมและคำสั่งสอนของท่านยังปรากฏ อยู่ในดวงใจของ ศิษยานุศิษย์ตลอดไปจึงขอยกธรรมคำสอนของหลวงพ่อที่สอนให้ศิษย์ เข้าถึงธรรมด้วยการสร้างคุณงามความดีให้เกิดขึ้นที่ตนเองดังนี้ “ตราบใดก็ตาม ที่แกยังไม่เห็นความดีในตัวเองก็ยังไม่นับว่า แกรู้จักข้าแต่ถ้าเมื่อใด แกเริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้วเมื่อนั้นข้าว่า แกเริ่มรู้จักข้าดีขึ้นแล้วล่ะ”

ความคิดเห็นที่ 1
ผู้แสดงความคิดเห็น :
Rambo_Thai
แสดงความคิดเห็นเมื่อ: 25 ม.ค. 54 - 16:37:25


ความคิดเห็นที่ 2
ผู้แสดงความคิดเห็น :
Rambo_Thai
แสดงความคิดเห็นเมื่อ: 25 ม.ค. 54 - 16:37:49


ความคิดเห็นที่ 3
ผู้แสดงความคิดเห็น :
Rambo_Thai
แสดงความคิดเห็นเมื่อ: 25 ม.ค. 54 - 16:38:05



ท่านต้องสมัครสมาชิกก่อนถึงจะมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นในกระดานนี้ได้


สมัครสมาชิกใหม่ คลิ๊กที่นี่ได้เลย ! ! ฟรี ! ! ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น